ค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริงกับเหมาจ่ายต่างกันอย่างไร? วิธีคำนวณปี 2568
- sarinpasjm
- Oct 17
- 1 min read
ในปี 2568 การวางแผนค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจนั้นสำคัญมาก ยิ่งในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจมีความผันผวน การเลือกวิธีการหักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายอนุญาตจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยมีสองวิธีหลักที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณา คือ "ค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริง" และ "เหมาจ่าย" บทความนี้จะนำเสนอความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้ พร้อมวิธีการคำนวณที่เหมาะสมในปี 2568
ค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริง
ค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริงคือวิธีการที่ผู้ประกอบการสามารถหักค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากรายได้ โดยต้องมีเอกสารหลักฐานที่ชัดเจน เช่น ใบเสร็จรับเงินหรือเอกสารอื่น ๆ ที่สามารถแสดงรายละเอียดค่าใช้จ่ายได้
ยกตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณมีค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัสดุซึ่งรวมอยู่ที่ 100,000 บาท คุณจะสามารถหักค่าใช้จ่ายนี้ทั้งหมดได้จากรายได้ของคุณ ทำให้สามารถประหยัดภาษีได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้รวม 500,000 บาท และหักค่าใช้จ่ายตามจริง 100,000 บาท คุณจะต้องเสียภาษีจากรายได้สุทธิ 400,000 บาท
เหมาจ่าย
ในทางกลับกัน เหมาใช้คือวิธีการที่สามารถหักค่าใช้จ่ายในอัตราที่กำหนดโดยกฎหมายโดยไม่ต้องแสดงเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายจริง เทคนิคนี้เหมาะกับธุรกิจที่มีค่าใช้จ่ายน้อยและไม่ต้องการความยุ่งยาก
ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ที่สามารถหักเหมาใช้ 30% จากรายได้รวม 500,000 บาท คุณจะสามารถหักได้ 150,000 บาท โดยไม่ต้องเก็บใบเสร็จหรือเอกสารให้มากมาย แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้เสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าในบางกรณีก แต่ก็ช่วยให้การทำงานมีความรวดเร็วและสะดวกสบาย
ความแตกต่างระหว่างค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริงและเหมาจ่าย
ความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้ชัดเจนในเรื่องเอกสารและยอดค่าใช้จ่าย วิธีการหักตามจริงต้องการเอกสารครบถ้วน ส่วนเหมาใช้มีความสบายมากกว่าเพราะไม่ต้องพิสูจน์ยอดค่าใช้จ่าย
ในบางกรณี ค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริงอาจให้ผลประโยชน์ทางการเงินที่ดีกว่า ตัวอย่างเช่น ธุรกิจที่มีการลงทุนสูงในซอฟต์แวร์และระบบ IT โดยหากมีค่าใช้จ่ายถึง 200,000 บาท ก็หมายความว่าผู้ประกอบการจะสามารถลดฐานภาษีได้อย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เหมาใช้ซึ่งมีอัตราที่ต่ำกว่า
วิธีการคำนวณค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริง
การคำนวณค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริง ผู้ประกอบการต้องรวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าวัสดุ ค่าบริการต่าง ๆ
หลังจากรวบรวมเอกสารแล้ว ให้รวมยอดค่าใช้จ่ายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น หากคุณมีค่าใช้จ่ายรวม 120,000 บาท และรายได้รวม 600,000 บาท ให้หักค่าใช้จ่ายนี้จากรายได้ ซึ่งจะทำให้ภาษีที่ต้องจ่ายลดลงได้
วิธีการคำนวณเหมาจ่าย
สำหรับการคำนวณเหมาจ่าย ผู้ประกอบการจำเป็นต้องตรวจสอบอัตราที่กำหนดจากกฎหมาย ซึ่งอาจแตกต่างกันตามประเภทของธุรกิจ
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการจะคูณรายได้รวมด้วยอัตราที่กำหนด ตัวอย่างเช่น หากอัตราเหมาใช้อยู่ที่ 20% และคุณมีรายได้รวม 700,000 บาท จะเป็นการหักได้ 140,000 บาท ที่สามารถลดฐานภาษีของคุณได้
ข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี
การเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
ค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริง:
- ข้อดี: สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจำนวนที่แท้จริง เช่น หากมีค่าใช้จ่ายสูง345,000 บาท สามารถหักได้ตามสัดส่วนจริง
- ข้อเสีย: จำเป็นต้องมีเอกสารหลักฐานที่ชัดเจน ทำให้ยุ่งยากในการจัดการ
เหมาจ่าย:
- ข้อดี: สะดวกสบายในการหัก เพราะไม่ต้องเก็บเอกสารมากมาย
- ข้อเสีย: อาจไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เต็มที่ตามที่เกิดขึ้นจริง
วิธีเลือกที่เหมาะสม
การเลือกวิธีการหักค่าใช้จ่ายควรพิจารณาจากลักษณะธุรกิจ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและจำนวนเอกสารที่ต้องจัดการ หากธุรกิจมีค่าใช้จ่ายสูงและมีเอกสารแนบชัดเจน การเลือกใช้ค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริงอาจดีกว่า
ถ้าธุรกิจไม่ได้มีค่าใช้จ่ายสูง โบนัสจากการใช้เหมาจ่ายจะช่วยให้การดำเนินการราบรื่นขึ้น
สรุปผล
การเลือกวิธีการหักค่าใช้จ่ายระหว่างค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริงและเหมาจ่ายเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณาในปี 2568 เพื่อสามารถจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ การมีความเข้าใจในแต่ละวิธีจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกรูปแบบที่ดีที่สุดในการลดภาษีที่ต้องจ่าย

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างค่าใช้จ่ายหักได้ตามจริงและเหมาใช้จะช่วยให้ผู้ประกอบการจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายในระยะยาว



Comments